รัฐธรรมนูญฝรั่งเศสให้ประชาชนสามารถออกเสียงประชามติได้ใน
๔
กรณี คือ การออกเสียงประชามติต่อร่างกฎหมาย (Le référendum législative) ตามมาตรา
๑๑ ของรัฐธรรมนูญ การออกเสียงประชามติต่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (Le referendum constituant) ตามมาตรา
๘๙ การออกเสียงประชามติที่ริเริ่มโดยท้องถิ่น (Le référendum décisionnel local) ตามมาตรา ๗๒-๑[๑] และการออกเสียงประชามติที่เกี่ยวเนื่องกับสหภาพยุโรปตามมาตรา
๘๘-๕[๒]
ในสาธารณรัฐที่ ๕ (ตั้งแต่ปี ๑๙๕๘
เป็นต้นมา) ประเทศฝรั่งเศสมีการทำประชามติมาแล้ว ๑๐ ครั้ง คือ
- ในปี ๑๙๕๘ เรื่อง ร่างรัฐธรรมนูญ ๑๙๕๘
- ในปี ๑๙๖๑ เรื่อง
การปกครองตนเองของอัลจีเรีย
- ในปี ๑๙๖๒ เรื่อง ความตกลง Evian (ระหว่างฝรั่งเศสกับอัลจีเรีย)
- ในปี ๑๙๖๒ เช่นกัน
เรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง
- ในปี ๑๙๗๒ เรื่อง
การขยายประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (CEE)
- ในปี ๑๙๘๘ เรื่อง การปกครองตนเองของ New
Caledonia
- ในปี ๑๙๙๒ เรื่อง การให้สัตยาบันสนธิสัญญา Maastricht
- ในปี ๒๐๐๐ เรื่อง การลดวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีจากเจ็ดปีเป็นห้าปี
โดยการทำประชามติส่วนใหญ่ในฝรั่งเศสเป็นการทำประชามติต่อร่างกฎหมายตามมาตรา
๑๑ ของรัฐธรรมนูญ ยกเว้นการทำประชามติในปี ๒๐๐๐ เพียงครั้งเดียวที่เป็นการทำประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญตามมาตรา
๘๙ ของรัฐธรรมนูญ ในประเด็นเรื่องการลดวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีจากเจ็ดปีเป็นห้าปี
ซึ่งผู้ลงคะแนนส่วนใหญ่ (ร้อยละ ๗๓.๒๑) เห็นชอบกับการแก้ไขดังกล่าว
กระบวนการจัดทำประชามติต่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสามารถเสนอโดยสมาชิกรัฐสภาหรือโดยประธานาธิบดีตามข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี
(มาตรา ๘๙ วรรคหนึ่ง) โดยร่างดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองสภาในเนื้อความอย่างเดียวกันก่อนจะจัดทำประชามติ
(มาตรา ๘๙ วรรคสอง)
การทำประชามติต่อร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมีลักษณะบังคับเฉพาะร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ที่เสนอโดยสมาชิกรัฐสภา แต่สำหรับร่างแก้ไขเพิ่มเติมที่เสนอโดยรัฐบาลอาจไม่ต้องนำมาให้ประชาชนออกเสียงประชามติก็ได้ หากประธานาธิบดีเสนอให้ที่ประชุมร่วมกันของสภาทั้งสองเป็นผู้พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น ในกรณีนี้ ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะต้องได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงมากกว่าสามในห้าของผู้ออกเสียงลงคะแนน (มาตรา ๘๙ วรรคสาม)
ที่เสนอโดยสมาชิกรัฐสภา แต่สำหรับร่างแก้ไขเพิ่มเติมที่เสนอโดยรัฐบาลอาจไม่ต้องนำมาให้ประชาชนออกเสียงประชามติก็ได้ หากประธานาธิบดีเสนอให้ที่ประชุมร่วมกันของสภาทั้งสองเป็นผู้พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น ในกรณีนี้ ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะต้องได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงมากกว่าสามในห้าของผู้ออกเสียงลงคะแนน (มาตรา ๘๙ วรรคสาม)
๑. การตรารัฐกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีการลงประชามติ
เนื่องจากประเทศฝรั่งเศสไม่มีกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติ
แต่ก่อนการจัดให้มีการลงประชามติแต่ละครั้งจะมีการตรารัฐกฤษฎีกาหลายฉบับ เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการทำประชามติ
เช่น
- รัฐกฤษฎีกาประกาศเรื่องที่ต้องการขอความเห็นจากประชาชนโดยผ่านการทำประชามติ
(กำหนดคำถามที่จะถามประชาชน และวันที่ที่จะจัดให้มีการลงประชามติ)
-
รัฐกฤษฎีกากำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาลงคะแนนเสียงประชามติ (กำหนดเขตเลือกตั้ง
วิธีการลงคะแนน การทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียง
การร้องคัดค้านกระบวนการจัดทำประชามติ)
-
รัฐกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวกับการจัดทำประชามติ
๒. การตั้งคำถามในการจัดทำประชามติ
การตั้งคำถามเพื่อนำไปใช้ลงประชามติจะต้องชัดเจนไม่คลุมเครือ[๕] โดยตามแนวทางในการจัดทำประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญในระดับชาติ
ของคณะกรรมการเวนิส ในคราวประชุมครั้งที่ ๔๗ เมื่อวันที่
๖-๗ กรกฎาคม ๒๐๐๑ (Par.II.B.) สามารถทำได้สี่รูปแบบ คือ[๖]
๖-๗ กรกฎาคม ๒๐๐๑ (Par.II.B.) สามารถทำได้สี่รูปแบบ คือ[๖]
-
การขอความเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างกฎหมาย
-
การขอความเห็นชอบในการยกเลิกกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่
- การตั้งคำถามในเชิงหลักการ
เช่น คุณเห็นด้วยหรือไม่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดตั้งระบบประธานาธิบดี
-
การเสนอข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม เช่น คุณเห็นด้วยหรือไม่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดจำนวนสมาชิกรัฐสภาจาก
๓๐๐ คนเป็น ๒๐๐ คน
โดยการจัดทำประชามติครั้งล่าสุด
คือ เมื่อปี ๒๐๐๕ มีการตั้งคำถามว่า « คุณเห็นด้วยหรือไม่กับร่างกฎหมายอนุญาตการให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาจัดตั้งรัฐธรรมนูญยุโรป? »
ส่วนประชามติในปี ๒๐๐๐
ซึ่งเป็นการทำประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญ มีการตั้งคำถามว่า « คุณเห็นด้วยหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นห้าปี ? »
ทั้งนี้ ตามแนวทางในการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญในระดับชาติ
ของคณะกรรมการเวนิส (Par.II.D) คำถามในการจัดทำประชามติจะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ
และรัฐธรรมนูญ
๓. การเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการลงประชามติ
รัฐจะต้องจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นกลางเกี่ยวกับเรื่องที่จัดให้มีการลงประชามติ
โดยจะต้องมีการแสดงบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะขอให้ลงประชามติให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนได้ทราบพร้อมด้วยคำอธิบายประกอบ
(Rapport explicatif) ซึ่งรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดพิมพ์และแจกจ่ายเอกสารดังกล่าว
ทั้งนี้ ร่างคำอธิบายประกอบการทำประชามติและเอกสารประกอบการจัดทำประชามติอื่น ๆ
จะต้องถูกตรวจสอบโดยศาลรัฐธรรมนูญก่อนการเผยแพร่
ในทางปฏิบัติรัฐจะจัดส่งร่างรัฐธรรมนูญหรือร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนก่อนการออกเสียงประชามติ
พร้อมคำอธิบายประกอบ (Rapport explicatif) ไปให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนก่อนทุกครั้ง
ทั้งนี้ ตามแนวทางในการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญในระดับชาติ ของคณะกรรมการเวนิส
ในคราวประชุมครั้งที่ ๔๗ เมื่อวันที่ ๖-๗ กรกฎาคม ๒๐๐๑ (Par.II.E) ได้กำหนดให้รัฐจะต้องจัดหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ ร่างกฎหมายที่ใช้ในการลงประชามติ และคำอธิบายประกอบ (Rapport
explicatif) ให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนล่วงหน้าในระยะเวลาพอสมควรโดย
-
การลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือนก่อนการลงคะแนน
-
การส่งไปยังผู้มีสิทธิลงคะแนนโดยตรง
โดยประชาชนต้องได้รับเอกสารดังกล่าวล่วงหน้าอย่างน้อย
สองสัปดาห์ก่อนการลงคะแนน
สองสัปดาห์ก่อนการลงคะแนน
- คำอธิบายประกอบการลงประชามติ
(Rapport explicatif) ต้องประกอบด้วยความเห็นของฝ่ายรัฐ
(ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร) และความเห็นของฝ่ายตรงข้าม (ฝ่ายที่คัดค้าน) โดยเท่าเทียมกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับฟังข้อมูลทั้งสองด้านและไม่ถูกชักจูงไปทางใดทางหนึ่ง
(ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร) และความเห็นของฝ่ายตรงข้าม (ฝ่ายที่คัดค้าน) โดยเท่าเทียมกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับฟังข้อมูลทั้งสองด้านและไม่ถูกชักจูงไปทางใดทางหนึ่ง
นอกจากการเผยแพร่ข้อมูลซึ่งกระทำโดยรัฐแล้ว
พรรคการเมืองสามารถเสนอข้อมูลและความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับการทำประชามติต่อสาธารณะ
(la
campagne/la propagande) ได้ ในกรณีนี้จะมีทั้งการเสนอความเห็นในด้านบวกและด้านลบต่อร่างกฎหมายหรือร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่จะเสนอให้ลงประชามติ
สำหรับการเสนอข้อมูลและความคิดเห็นที่เกี่ยวกับการทำประชามติโดยผ่านทางสื่อวิทยุโทรทัศน์นั้น
ฝ่ายผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านการลงประชามติจะได้รับการจัดสรรเวลาในการแสดงความเห็นผ่านทางสื่อของรัฐ
และของเอกชนอย่างเท่าเทียมกัน (แนวทางในการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญในระดับชาติ ของคณะกรรมการเวนิสฯ Par.II G, H) โดยศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ตรวจสอบเนื้อหาและวิธีการของการเสนอข้อมูลและความคิดเห็นดังกล่าว
ฝ่ายผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านการลงประชามติจะได้รับการจัดสรรเวลาในการแสดงความเห็นผ่านทางสื่อของรัฐ
และของเอกชนอย่างเท่าเทียมกัน (แนวทางในการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญในระดับชาติ ของคณะกรรมการเวนิสฯ Par.II G, H) โดยศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ตรวจสอบเนื้อหาและวิธีการของการเสนอข้อมูลและความคิดเห็นดังกล่าว
๔. การลงคะแนนเสียง
การจัดให้มีการลงคะแนนเสียงประชามติจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับวิธีการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป
ทั้งการจัดทำรายชื่อผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติ การกำหนดเขตลงประชามติ และการนับคะแนนเสียง
โดยผู้มีสิทธิออกเสียงจะได้รับบัตรลงคะแนนสองใบ พิมพ์บนกระดาษสีขาว ใบหนึ่งเขียนคำว่าเห็นด้วย (oui) อีกใบหนึ่งเขียนคำว่าไม่เห็นด้วย (non)
ทั้งการจัดทำรายชื่อผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติ การกำหนดเขตลงประชามติ และการนับคะแนนเสียง
โดยผู้มีสิทธิออกเสียงจะได้รับบัตรลงคะแนนสองใบ พิมพ์บนกระดาษสีขาว ใบหนึ่งเขียนคำว่าเห็นด้วย (oui) อีกใบหนึ่งเขียนคำว่าไม่เห็นด้วย (non)
๕. ผลของการลงประชามติ
การลงประชามติจะต้องมีผลเด็ดขาด
กล่าวคือ หากผลของการลงประชามติเป็นการเห็นด้วย จะนำไปสู่การประกาศใช้กฎหมายที่ได้ทำประชามตินั้น
แต่หากเป็นกรณีที่ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือร่างกฎหมายที่เสนอไม่ได้รับความเห็นชอบในการลงประชามติหรือในกรณีที่การออกเสียงประชามติไม่อาจจัดให้มีขึ้นได้ภายในกำหนดระยะเวลา
ร่างดังกล่าวจะถูกยับยั้งไว้ (Suspensif)
สำหรับในกรณีที่ขอให้มีการลงประชามติเพื่อยกเลิกกฎหมายหรือบทบัญญัติแห่งกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่ง
หากผลของการลงประชามติเป็นการเห็นด้วย ก็จะมีผลเป็นการยกเลิก (abrogatif)
กฎหมายหรือบทบัญญัติของกฎหมายนั้น
ทั้งนี้ บทบัญญัติที่ได้ผ่านการลงประชามติแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ประชาชนลงมติเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยก็ตาม
สามารถที่จะนำขึ้นสู่การพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐสภาได้ในภายหลัง เช่นกรณีที่ประชาชนได้ลงประชามติรับกฎหมายพื้นฐานของ
Nouvelle-Calédonie
(le Statut de 1988 de la Nouvelle-Calédonie) เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๘๘ ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๙๙
ได้มีการตรารัฐบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญของกฎหมายฉบับดังกล่าว
๖. การตรวจสอบกระบวนการจัดทำประชามติและการรับรองผล
ตามมาตรา ๖๐
ของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรผู้มีอำนาจตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการจัดให้มีการลงประชามติ
และเป็นผู้ประกาศผลการลงประชามติดังกล่าว อย่างไรก็ดี ศาลรัฐธรรมนูญไม่ถือว่าตนมีอำนาจในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ผ่านการลงประชามติแล้ว
เนื่องจากกฎหมายฉบับนั้นๆ เป็นการแสดงออกโดยตรงของอำนาจอธิปไตยของชาติ (Expression directe du souverain)[๗]
นอกจากการตรวจสอบกระบวนการจัดทำประชามติแล้ว
รัฐกฤษฎีกา ลงวันที่ ๗ พฤศจิกายน ค.ศ.
๑๙๕๘ออกตามความในรัฐบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในกระบวนการจัดทำประชามติ ดังนี้
-
เป็นผู้ให้ความเห็นแก่รัฐบาลเกี่ยวกับการจัดให้มีการดำเนินการทำประชามติ (มาตรา
๔๖) อย่างไรก็ดีความเห็นดังกล่าวไม่ผูกพันรัฐบาลและไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ
- เป็นผู้จัดทำข้อสังเกตเกี่ยวกับรายชื่อขององค์กรที่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้เสนอข้อมูลและความคิดเห็นที่เกี่ยวกับการลงประชามติต่อสาธารณะ
(มาตรา ๔๗)
- มีอำนาจแต่งตั้งให้ตุลาการศาลยุติธรรมหรือตุลาการศาลปกครองเป็นผู้ควบคุมประจำพื้นที่ที่จัดให้มีการลงประชามติ
(มาตรา ๔๘)
-
ควบคุมการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ (มาตรา ๔๙)
- พิจารณาและตัดสินคำร้องคัดค้านการลงประชามติ
หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าขั้นตอนการดำเนินการทำประชามติไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจประกาศยกเลิกการทำประชามติทั้งหมดหรือบางส่วน
(มาตรา ๕๐)
- ประกาศผลการลงประชามติโดยจัดทำเป็นพระราชกฤษฎีกากำหนดให้มีการตรากฎหมายที่ประชาชนอนุมัติไว้ด้วย
(มาตรา ๕๑)
[๑] แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี ๒๐๐๓ โดย La loi constitutionnelle du 28 mars
2003 sur l’organisation décentralisée de la République
[๒] แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี ๒๐๐๕ โดย La loi constitutionnelle du 1er mars
2005 en vue de l’adoption du Traité établissant une Constitution pour l’Europe
et confirmé en 2008
[๓] ผู้ใช้สิทธิเสียงข้างมาก (ร้อยละ
๕๒.๔๑) ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายปฏิรูปวุฒิสภาและการจัดตั้งปกครองในระดับแคว้นทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวตกไป
และประธานาธิบดีในขณะนั้น คือ นายพล เดอ โกล ต้องลาออกจากตำแหน่ง
[๕] Décision n° 87-226 DC du 26 juin 1987, Statut de la Nouvelle -Calédonie ;
n° 2000-428 DC du 4 mai 2000, Consultation de la population de Mayotte sur son avenir statutaire.
[๖] Lignes directrices sur le referendum constitutionnel a
l’échelle nationale adoptées par la Commission de Venise lors de sa 47e
réunion plénière (Venise, 6-7 juillet 2001), CDL-INF (2001) 10.